ผู้ที่ร่ำรวยที่สุดตั้งแต่มนุษยชาติถือกำเนิดมา

 
ผู้ที่ร่ำรวยที่สุดตั้งแต่มนุษยชาติถือกำเนิดมาและอันดับรอง ๆ ลงมา ไม่รวมเหล่าเผ่าพันธุ์ไดโนเสาร์นะครับ
ในปี ค.ศ. 2019 นาย Jeff Bezos ผู้ก่อตั้งบริษัทอเมซอนเป็นมหาเศรษฐีผู้ที่รวยที่สุดในโลกตามรายงานของนิตยสาร Forbes (มีนาคม) ด้วยความมั่งคั่งที่ประเมินไว้ที่ 131 พันล้านดอลล่าร์ $131bn หรือประมาณ 99 พันล้านปอนด์ (£99bn) และเขาอาจเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ แต่นายเจฟคนนี้ก็ไม่ได้เป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดตลอดกาล
แต่ผู้ที่ร่ำรวยตลอดกาลคือราชาแมนซา มูซ่า (Mansa Musa) ผู้ปกครองของแอฟริกาตะวันตกในคริสต์ศตวรรษที่ 14 "เรื่องราวของความร่ำรวยมั่งคั่งของราชามูซานั้น แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่รู้สึกว่า เขาเป็นผู้ที่ร่ำรวยและมีอำนาจอย่างแท้จริง" รูดอล์ฟ บุทช์ แวร์ (Rudolph Butch Ware) รองศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียกล่าว
ราชาแมนซา มูซ่านั้น “ทรงร่ำรวยยิ่งกว่าใคร ๆ ที่จะสามารถอธิบายได้” Jacob Davidson เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับกษัตริย์แอฟริกาพระองค์นี้ในเว็บการเงินระดับโลกอย่าง Money.com เมื่อปี ค.ศ. 2015
ในปี ค.ศ. 2012 เว็บไซต์ Celebrity Net Worth ของสหรัฐอเมริกา ประเมินความมั่งคั่งของพระองค์ไว้ที่ 400,000 ล้านเหรียญดอลล่าร์ แต่นักประวัติศาสตร์ทางเศรษฐกิจหลายคนต่างยอมรับว่าความมั่งคั่งของพระองค์นั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะระบุได้อย่างชัดเจน
สำหรับผู้ที่ร่ำรวยที่สุด 10 คนตลอดกาล มีใครกันบ้าง
1. ราชาแมนซ่า มูซา Mansa Musa (ค.ศ. 1280-1337, ราชาแห่งอาณาจักรมาลี) ประเมินค่าไม่ได้
2. ออกัสตัส ซีซ่าร์ จักรพรรดิองค์แรกแห่งจักรวรรดิโรมัน Augustus Caesar (63 BC-14 AD, Roman Emperor) ประเมินค่าไว้ที่ $ 4.6 ล้านล้านดอลล่าร์หรือประมาณ 3.5 ล้านล้านปอนด์ (£3.5tn)
3. จ้าวเสี่ยว (ค.ศ. 1048-1028, ซ่งเฉินจง จักรพรรดิองค์ที่ 6 แห่งราชวงศ์ซ่ง จีน) ประเมินค่าไม่ได้
4. อัคบาร์ Akbar I (ค.ศ. 1542-1605) จักรพรรดิแห่งราชวงศ์โมกุลของอินเดีย ประเมินค่าไม่ได้
5. แอนดรูว์ คาร์เนกี้ Andrew Carnegie (ค.ศ. 1835-1919 นักอุตสาหกรรมชาวสก็อต - อเมริกัน) มูลค่าที่ประเมิน 372 พันล้านดอลล่าร์
6. จอห์น ร็อกกี้เฟลเล่อร์ John D Rockefeller (ค.ศ. 1839-1937) เจ้าสัวธุรกิจอเมริกัน) มูลค่าที่ประเมิน 341 พันล้านดอลล่าร์
7. นิโคไล อเล็กซานโดรวิช โรมานอฟ Nikolai Alexandrovich Romanov (ค.ศ. 1868-1918, ซาร์แห่งรัสเซีย) มูลค่าประเมินได้ที่ 300 พันล้านดอลล่าร์
8. เมียร์ ออสมัน อาลีข่าน (ค.ศ. 1886-1967, เชื้อพระวงศ์อินเดีย) มูลค่าประเมินได้ที่ 230 พันล้านดอลล่าร์
9. กษัตริย์วิลเลี่ยมผู้พิชิต William the Conqueror (ค.ศ. 1028-1087) มูลค่าที่ประเมินได้ 229.5 พันล้านดอลล่าร์
10. จอมเผด็จการมูฮัมมาร์ กัดดาฟี่ Muammar Gaddafi (ค.ศ. 1942-2011 อดีตผู้นำลิเบีย) มูลค่าที่ประเมิน 200 พันล้านดอลล่าร์
ราชาทองคำ
แมนซา มูซ่า Mansa Musa ประสูติเมื่อปี ค.ศ. 1280 และเป็นพระอนุชาของแมนซ่า อาบูร์-บัคร์ Mansa Abu-Bakr พี่เชษฐาธิราชเจ้าครองอาณาจักรมาลีจนถึงปี ค.ศ.1312 เมื่อพระเชษฐาธิราชทรงสละราชสมบัติเพื่อออกเดินทางผจญภัย ตามที่นักประวัติศาสตร์ชาวซีเรียในคริสต์ศตวรรษที่ 14 ที่ชื่อ Shibab al-Umari, บันทึกว่า ราชา Abu-Bakr ทรงออกเดินทางสำรวจมหาสมุทรแอตแลนติกพร้อมกองเรือ 2,000 ลำรวมชายหญิงและทาสหลายพันคน พวกเขาออกเดินทางโดยไม่กลับมา นักประวัติศาสตร์อเมริกันสมัยใหม่อย่าง อีวาน วาน เซอร์ติม่า Ivan Van Sertima ที่ให้ความเห็นว่า พวกเขาน่าจะไปถึงชายฝั่งอเมริกาใต้ แต่ไม่มีหลักฐานยืนยันในเรื่องนี้ ไม่ว่าในกรณีใด ๆ ราชามูซ่าก็ทรงสืบทอดราชสมบัติที่พระเชษฐาธิราชเจ้าทรงทิ้งไว้ให้ ภายใต้การปกครองของพระองค์อาณาจักรมาลียิ่งใหญ่แถมไม่เคยเสียดินแดนแต่กลับผนวก 24 หัวเมืองรวมถึงเมือง Timbuktu
ราชอาณาจักรทอดยาวประมาณ 2,000 ไมล์จากมหาสมุทรแอตแลนติกจนถึงไนเจอร์ในปัจจุบัน โดยมีบางส่วนของประเทศเซเนกัล มอริเตเนีย มาลี บูร์กินาฟาโซ ไนเจอร์ แกมเบีย กินี – บิสเซา กินีและไอวอรี่โคสต์ .
ด้วยที่ดินแดนเหล่านี้นี่แหละ เป็นแหล่งทรัพยากรมีค่าอย่างทองคำและเกลือ
ในช่วงรัชสมัยของราชามูซ่า ราชอาณาจักรมาลีมีปริมาณทองคำคิดเป็นมูลค่าเกือบครึ่งหนึ่งของปริมาณทองคำในยุคโลกเก่า โดยอ้างอิงจากบริติชมิวเซียม และทองคำทั้งหมดเป็นของราชามูซ่า
“ ในฐานะราชาผู้ปกครองแมนซา มูซ่าทรงสามารถเข้าถึงแหล่งความมั่งคั่งที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกยุคกลางได้อย่างไม่จำกัด ” Kathleen Bickford Berzock ผู้มีความเชี่ยวชาญด้านศิลปะแอฟริกันที่ Block Museum of Art ที่ Northwestern University บอกกับ BBC
“ ศูนย์กลางการค้าสำคัญที่ซื้อขายทองคำและสินค้าอื่น ๆ ก็อยู่ในอาณาเขตของพระองค์และพระองค์ก็ทรงรวบรวมความมั่งคั่งจากการค้าขายนี้” Kathleen เธอกระชุ่นเอาไว้
เสด็จพระราชดำเนินไปนครเมกกะ
แม้ว่าอาณาจักรมาลีจะมีทองคำอยู่มากแต่ก็ยังไม่เป็นที่รู้จัก เรื่องแบบนี้เปลี่ยนไปเมื่อราชามูซ่ากษัตริย์มุสลิมผู้เคร่งศาสนาตัดสินใจเสด็จเดินทางไปแสวงบุญที่นครเมกกะผ่านทะเลทรายซาฮาราและอียิปต์
มีรายงานว่า ราชามูซ่าเสด็จออกจากราชอาณาจักรมาลีพร้อมกองคาราวาน 60,000 คน ทรงเกณฑ์ข้าราชสำนัก เจ้าหน้าที่ ทหาร บรรดาศิลปิน พ่อค้า คาราวานและทาส 12,000 นายรวมทั้งขบวนแพะ แกะเพื่อเป็นอาหาร มันจึงเป็นเสมือนเมือง ๆ หนึ่งที่เคลื่อนที่ผ่านทะเลทราย เมืองที่ผู้คนตลอดจนถึงทาสที่ห่มผ้าบุทองและผ้าไหมเปอร์เซียที่ดีที่สุด ฝูงอูฐหนึ่งร้อยตัวแต่ละตัวแบกทองคำบริสุทธิ์หลายร้อยปอนด์ และเมื่อกองคาราวานเดินทางมาถึงกรุงไคโร พวกเขาก็สามารถอวดความมั่งคั่งได้อย่างตื่นตาตื่นใจ
วิกฤติราคาทองคำในกรุงไคโร
ราชามูซ่าทรงได้ทิ้งความประทับใจอันยากที่ลืมเลือนที่กรุงไคโรนี้ เมื่ออัล – อุมารี (Shibab al-Umari) เดินทางมาเยี่ยมเยียนเมืองไคโรนี้ 12 ปีให้หลัง ได้บันทึกถึงผู้คนที่ยังกล่าวเล่าขานพูดถึงราชาพระองค์นี้ไว้มากเพียงใด
ทางราชามูซ่าก็ทรงจับจ่ายใช้สอยเป็นทองคำอย่างฟุ่มเฟือยในกรุงไคโร เพียงแค่ระยะเวลาสามเดือนของพระองค์ที่ประทับในกรุงไคโร ทำให้ราคาทองคำดิ่งลงในภูมิภาคนี้เป็นเวลา 10 ปีซึ่งทำลายเศรษฐกิจอย่างย่อยยับทีเดียว มันน่าประทับใจตรงไหน...
บริษัท SmartAsset.com ในสหรัฐอเมริกา ประมาณการว่า เนื่องจากการปริมาณทองคำที่ทรงใช้ไปของราชามูซ่าสำหรับทริปแสวงบุญนี้ นำไปสู่ความสูญเสียทางเศรษฐกิจทั่วตะวันออกกลางเป็นมูลค่า 1.5 พันล้านดอลล่าร์ $ 1.5bn (£ 1.1bn)
แต่ช้าแต่...ระหว่างเสด็จกลับบ้าน ราชามูซ่าก็ทรงผ่านอียิปต์อีกครั้ง..และทรงพยายามช่วยเหลือเศรษฐกิจของอียิปต์โดยการเอาปริมาณทองคำออกจากการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ เช่น การกู้ยืมทองคำกลับมาโดยจ่ายเป็นดอกเบี้ยให้ผู้ถือทองคำของพระองค์ในทริปขามา ชาวอียิปต์คนหนึ่งบอกว่า พระองค์ทรงใช้เวลานานมากจนปริมาณและมูลค่าทองคำกลับสู่สภาวะปกติหรือกว่าจะหมดวิกฤติทองคำล้นตลาด ไม่ต้องสงสัยเลยว่าราชามูซ่าทรงใช้เวลาหรือจับจ่ายเป็นทองคำจำนวนมากในระหว่างการเดินทางของพระองค์นี้ เป็นที่จับตามองของโลกทั้งโลก
พระองค์ทรงทำให้ราชอาณาจักรมาลีและตัวพระองค์เองปรากฏลงบนแผนที่โลก ในแผนที่ของแคว้นคาตาลัน สเปน ปี ค.ศ.1375 มีภาพวาดของกษัตริย์แอฟริกันประทับอยู่บนบัลลังก์สีทองบนยอดเขาทิมบูตักตุ มีทองคำในพระหัตถ์ของพระองค์ กรุง Timbuktu กลายเป็นขุมทอง African El Dorado ดึงดูดผู้คนมาจากแดนใกล้และไกลเพื่อมาชื่นชมและแสวงหา จวบจนคริสต์ศตวรรษที่ 19 มันยังเป็นตำนานในฐานะเมืองแห่งทองคำที่สูญหายไปที่ชายขอบของโลก เป็นเป้าหมายสำหรับนักล่าโชคชะตาและนักสำรวจชาวยุโรป
การศึกษาที่เป็นหัวใจ
ราชามูซ่าทรงเสด็จกลับจากนครเมกกะ มาพร้อมเหล่านักวิชาการชาวอิสลามหลายคน รวมถึงทายาทโดยตรงของศาสดามูฮัมหมัด เหล่ากวีและสถาปนิก Andalusian โดยชื่อของ Abu Es Haq es Saheli ซึ่งได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในการออกแบบมัสยิด Djinguereber ที่มีชื่อเสียง จากข้อมูลแจ้งว่าเหล่านักกวีจะได้รับค่าจ้างเป็นทองคำคนละ 200 กิโลกรัม (440 ปอนด์) ถ้าเทียบกับมูลค่าเงินในยุคปัจจุบันจะอยู่ที่ 8.2 ล้านดอลลาร์ (6.3 ล้านปอนด์) ...
นอกจากพระองค์ทรงสนับสนุนศิลปะและสถาปัตยกรรมแล้ว ทรงยังให้ทุนสนับสนุนงานวรรณกรรม สร้างโรงเรียน ห้องสมุดและมัสยิด กรุง Timbuktu กลายเป็นศูนย์กลางของการศึกษาและผู้คนเดินทางจากทั่วโลก (แอฟริกานะครับ) เพื่อไปศึกษาที่นี่ ซึ่งต่อมากลายเป็นมหาวิทยาลัย Sankore พระองค์ทรงได้รับการยกย่องเป็นผู้ให้กำเนิดการศึกษาในแอฟริกาตะวันตก แม้ว่าเรื่องราวของอาณาจักรของพระองค์ส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยมีใครรู้จักนัก
"ประวัติศาสตร์ถูกเขียนขึ้นโดยผู้ชนะ" Winston Churchill นายกรัฐมนตรีของอังกฤษกล่าว
หลังจากราชามูซ่าสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1337 สิริพระชนมายุ 57 พรรษา ต่อมาจักรวรรดิมาลีภายใต้องค์รัชทายาทของพระองค์ก็แตกกลายเป็นรัฐเล็ก ๆ และสุดท้ายจักรวรรดิมาลีก็ล่มสลาย การมาถึงของชาวยุโรปในภูมิภาคนี้ คือ การตอกตะปูโลงศพตัวสุดท้ายของจักรวรรดิ
ลิซ่า คอร์ริน กราเซียส (Lisa Corrin Graziose) ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์ศิลปะบล็อก กล่าวว่า “เรื่องราวประวัติศาสตร์ในยุคกลางนั้น เรื่องส่วนใหญ่ยังคงเป็นประวัติศาสตร์ตะวันตกเท่านั้น” มันจึงอธิบายว่า ทำไมเรื่องราวของราชาแมนซา มูซาจึงไม่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง
“ หากชาวยุโรปจำนวนมากเดินทางมาถึงในเวลาของราชามูซาโดยที่มาลีเป็นจุดสูงสุดของอำนาจทางทหารและเศรษฐกิจแทนที่จะเป็นสองร้อยปีต่อมา สิ่งต่าง ๆ นั้นจะแตกต่างกันอย่างแน่นอน” มร. แวร์กล่าว
เรียบเรียงจาก BBC


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

วันปิยมหาราช พระราชกรณียกิจ รัชกาลที่ 5

ไขมันทรานส์คืออะไร

วิธีลดเครียด-ลดเหงา เมื่อต้อง Work From Home นานๆ