ที่มาของ “ลิควิด เปเปอร์”



(ซ้าย) เบ็ตต์ แคลร์ แมคเมอร์เรย์ (ขวา) ลิควิด เปเปอร์ หรือผลิตภัณฑ์ลบคำผิด (ภาพจากเว็บไซต์ https://www.adweek.com/brand-marketing/how-a-pioneering-single-mom-created-liquid-paper/)
เบ็ตต์ แคลร์ แมคเมอร์เรย์ (Bette Claire MacMurray) เด็กสาวเจ้าอารมณ์และหัวทื่อ คงไม่เคยคิดฝันว่าจะประสบความสำเร็จในชีวิตและร่ำรวยจากเรื่องเล็กน้อย ๆ ที่เป็นปัญหากวนใจในการทำงาน
แมคเมอร์เรย์ต้องถูกอัปเปหิออกจากโรงเรียนเมื่ออายุ ๑๗ ปี ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ เธอได้งานเป็นเลขานุการในสำนักงานทนายความแห่งหนึ่ง จากนั้นก็แต่งงานกับสามีคนแรก ทั้งคู่มีลูกด้วยกัน ๑ คน แต่หลังจากสามีกลับจากไปรบในสงคราม เธอก็หย่าขาดจากเขาและรับภาระเลี้ยงลูกเพียงลำพัง
หน้าที่การงานของแมคเมอร์เรย์ทำให้ต้องเกี่ยวข้องกับเครื่องพิมพ์ดีด และปัญหาที่ตามมาก็คือเวลาพิมพ์คำผิด ก็ไม่สามารถลบตัวหมึกสีดำนั้นออกไปได้ ทำให้เอกสารดูไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย ในที่สุดเหมือนสวรรค์มาโปรด เมื่อไอบีเอ็ม (บริษัทคอมพิวเตอร์ชั้นนำในปัจจุบัน) เปิดตัวเครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้าที่มาพร้อมแถบลบคำผิด ทว่าไม่นานเธอก็พบว่่าแถบลบคำผิดของไอบีเอ็มจะทิ้งคราบเป็นปื้นสีดำ ซึ่งทำให้เอกสารดูสกปรกไปกันใหญ่
วันหนึ่งขณะที่แมคเมอร์เรย์กำลังหาลำไพ่พิเศษด้วยการรับจ้างตกแต่งสถานที่ต้อนรับวันคริสต์มาส เธอสังเกตเห็นช่างทาสีแก้ไขด้วยการใช้สีทาทับ เวลาพวกเขาเขียนคำผิด
หลังจากนั้นแมคเมอร์เรย์ก็พกขวดใส่สีขาว (ชนิดน้ำ) และพู่กันไปที่ทำงาน และใช้อุปกรณ์เหล่านี้เมื่อพิมพ์คำผิด เธอทำเช่นนี้ตลอดระยะเวลา ๕ ปี จนเพื่อนร่วมงานขอให้แมคเมอร์เรย์ทำอุปกรณ์ลบคำผิดแบบนี้ให้บ้าง
ในที่สุดเธอก็นึกขึ้นได้ว่าควรทำอะไรสักอย่างกับของดีที่มีอยู่ในมือ เธอปรึกษากับครูวิชาเคมีของบุตรชาย และคนผลิตสีในท้องถิ่นที่รู้จักมักคุ้นก็สอนวิธีบดและผสมสีให้ แมคเมอร์เรย์ใช้ห้องครัวเป็นห้องปฏิบัติการขนาดย่อม และใช้โรงรถเป็นโรงงานผลิต จากนั้นก็รวบรวมเงินจำนวน ๒๐๐ เหรียญ จ้างนักเคมีทำน้ำยาที่ใช้ผสมกับสีเพื่อให้แห้งเร็วและไม่เหลือคราบทิ้งไว้
ในระยะเริ่มแรก แมคเมอร์เรย์ขอแรงจากลูกชายและเพื่อน ๆ ช่วยกันกรอกน้ำยาใส่ขวด (เธอตั้งชื่อน้ำยาลบคำผิดนั้นว่า มิสเทค เอาท์ (Mistake Out ก่อนจะเปลี่ยนเป็น ลิควิด เปเปอร์ (Liquid Paper) ในเวลาต่อมา) และยื่นจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าใน ค.ศ. ๑๙๕๖ แมคเมอร์เรย์พยายามขายสิ่งประดิษฐ์ให้ไอบีเอ็ม แต่บริษัทยักษ์ใหญ่กลับมองไม่เห็นคุณค่าของสินค้าชิ้นนี้
กระทั่งเมื่อเธอแต่งงานกับ บ๊อบ เกรแฮม (Bob Graham) เซลส์แมนผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาด ทั้งคู่จึงช่วยกันสร้างเครือข่ายผู้แทนจำหน่ายและร้านค้าสำนักงานกระทั่งทำรายได้ถึงปีละ ๓๘ ล้านเหรียญในปี ค.ศ. ๑๙๗๙ แล้วจึงขายกิจการให้กับบริษัท ยิลเลตต์ คอร์ปอเรชั่น ในปีเดียวกัน
จวบจนปัจจุบันนี้ลิควิด เปเปอร์กลายเป็นเครื่องใช้สำนักงานที่ขาดเสียไม่ได้ แม้คอมพิวเตอร์จะเข้ามาแทนที่เครื่องพิมพ์ดีด แต่ตราบใดที่เรายังสื่อสารกันด้วยการเขียน ลิควิด เปเปอร์ก็ยังมีความสำคัญต่อไป

(คัดลอกส่วนหนึ่งจากบทความ “สิ่งประดิษฐ์ของคนหัวรั้น ของธรรมดาที่เปลี่ยนโลก” เขียนโดย วารยา ในนิตยสารศิลปวัฒนธรรม สิงหาคม ๒๕๕๒)

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

อาการ “ลงแดง” คืออะไร อันตรายแค่ไหน พร้อมวิธีรักษา

วิธีลดเครียด-ลดเหงา เมื่อต้อง Work From Home นานๆ

จิตแพทย์แนะวิธีลดเครียดช่วง "โควิด-19" ระบาด ไม่ให้ป่วยทั้งกายและใจ