รู้ไว้ใช่ว่า อะลาดิน มาจากเมืองจีน ไม่ใช่ อาหรับ
รู้ไว้ใช่ว่า ต้นฉบับของ อะลาดิน มาจากเมืองจีนนะ
ไม่ใช่ อาหรับ อย่างที่ใครๆ เข้าใจ!
ไม่ใช่ อาหรับ อย่างที่ใครๆ เข้าใจ!
มั่นใจว่าหลายๆ คนที่กำลังอ่านบทความนี้ เข้าโรงภาพยนตร์ไปดูอะลาดินกับตะเกียงวิเศษมาแล้ว หรือไม่อย่างนั้นก็น่าจะเคยดูหรือเคยอ่านอะลาดินในเวอร์ชั่นต่างๆ มาอย่างแน่นอน แอดมินเองเป็นคนหนึ่งที่เคยทั้งอ่านและดู ทั้งแบบฉบับภาพยนตร์และแบบฉบับแอนิเมชั่น เนื้อหาเด่นๆ ที่จดจำได้เลยก็คือ อะลาดินเป็นเด็กหนุ่มยากจนที่โชคดีไปเจอตะเกียงวิเศษ พอถูตะเกียงก็มียักษ์จีนี่ออกมา และสามารถขอพรให้ทำอะไรก็ได้ สุดท้ายอะลาดินเลยกลายเป็นคนรวยและได้แต่งงานกับเจ้าหญิง อะลาดินเวอร์ชั่นภาพยนตร์ที่กำลังฉายอยู่นี้ก็มีเนื้อหาคล้ายคลึงกัน แต่ว่าได้เพิ่มเติมเรื่องราวของจีนี่ (รับบทโดยวิลล์ สมิธ) เข้าไปด้วย นั่นคือก่อนจะมาเป็นจีนี่ ยักษ์วิเศษตนนี้เคยเป็นกะลาสีเรือมาก่อน
อะลาดินสวมชุดแมนจูของจีน
อะลาดินเป็นเรื่องเล่าของชาวตะวันออกกลางที่ไปอาศัยในฝรั่งเศส
สำหรับคนที่เคยอ่านหนังสือ ไม่ว่าจะเป็นรวมเล่มเทพนิยายหรืออ่านตามเว็บไซต์ตามเพจมาก่อน น่าจะพอจำได้ลางๆ ว่า อะลาดินนั้น เป็นเรื่องย่อยๆ ในเทพนิยาย มหัศจรรย์พันหนึ่งราตรี (One Thousand and One Nights) หรือที่ถูกเรียกย่อๆ ว่า “อาหรับราตรี” นั่นเอง ฟังจากชื่อน่าจะพอเดาได้ว่า เป็นเทพนิยายที่มีที่มาจากตะวันออกกลาง เนื้อเรื่องเล่าถึง สุลต่านชาร์ยาร์ กษัตริย์แห่งเปอร์เซีย พระองค์มีมเหสีโฉมงามยิ่งกว่าหญิงใด แต่แล้ววันหนึ่งนางทรยศหักหลัง ทำให้พระองค์รังเกียจผู้หญิงทุกคน ในทุกๆ คืน สุลต่านจะหลับนอนกับเจ้าสาวบริสุทธิ์หนึ่งคน จากนั้นก็ฆ่านางทิ้งในวันต่อมา เพื่อให้ไม่ให้นางได้มีโอกาสนอกใจพระองค์ พฤติกรรรมของพระองค์ยิ่งกว่าปีศาจ ทำให้ชาวบ้านหวาดผวาเป็นอย่างมาก จนกระทั่งวันหนึ่ง เชเฮราซาต หญิงผู้เฉลียวฉลาดได้อาสาเป็นเจ้าสาวของพระองค์เอง ในคืนแรก นางได้วางแผนเล่านิทานให้พระองค์ฟังไปจนเช้า และได้ทิ้งปมเอาไว้ทำให้พระองค์อยากรู้ตอนจบ สุลต่านจึงไว้ชีวิตนางเพื่อจะฟังเรื่องเล่าของนางต่อ เรื่องราวดำเนินมาถึง 1,001 ราตรี พระองค์จึงตระหนักได้ว่า... หลงรักนางจากใจ และยกเลิกความคิดที่จะประหารนาง จากนั้นเชเฮราซาตก็กลายเป็นมเหสีและการประหารก็จบลงในที่สุด

เราจะพบว่า... เมื่อพิจารณาจากเรื่องเล่า ดิยาบเล่าเรื่องราวของตัวเองน่ะแหละ เพียงแต่ว่าใส่ความพิเศษให้มีความแฟนตาซีลงไปด้วย นั่นคือยักษ์จีนี่และตะเกียงวิเศษ ตัวดิยาบเองก็มีความแปลกแยก เพราะเขาคือคนตะวันออกที่มาใช้ชีวิตในตะวันตก เรื่องราวที่เขานำมาเล่าจึงมีเสน่ห์ในแบบของตะวันออก และจับใจคนตะวันตกยิ่งนัก ทว่าเมื่อมีการทำการค้นคว้าให้ลึกกว่านั้น พบว่า... เรื่องเล่าที่ดิยาบนำมาเล่าต่อนั้น ไม่ได้เป็นผลงานของตะวันออกกลาง แต่ว่า... มาจากประเทศจีนต่างหากล่ะ เรียกว่าซ้อนในซ้อนในซ้อนไปอีก!!
ภาพวาดเก่าๆ แสดงเรื่องเล่าอะลาดินกับตะเกียงวิเศษ
พันหนึ่งอาหรับราตรีเป็นเรื่องเล่าของชาวจีนที่ไปอาศัยในตะวันออกกลาง
ในความเป็นจริงแล้ว สำหรับชาวตะวันออกกลางในยุคศตวรรษที่ 18 ประเทศจีนเป็นดินแดนที่อยู่ห่างไกล พวกเขามองว่า... ถ้าตัวเองเป็นตัวแทนของกลางวัน ประเทศจีนก็คือตัวแทนของกลางคืน อย่างไรก็ตาม ชาวจีนนั้นนิยมค้าขาย และได้มีการค้นพบว่า... ชาวจีนเดินทางไปอาศัยในตะวันออกกลางจำนวนมาก เรื่องเล่าของอะลาดินเป็นส่วนหนึ่งที่ติดตัวมากับชาวจีน ไม่ต่างกับที่ดิยาบได้นำเรื่องเล่าไปถ่ายทอดที่ฝรั่งเศส จะเห็นว่าภาพวาดเกี่ยวกับอะลาดินนั้นเป็นเด็กหนุ่มชาวจีนที่โกนหัวด้านหน้าและไว้หางเปียยาว ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของราชวงศ์ชิงหรือแมนจู นักประวัติศาสตร์ได้สืบสาวราวเรื่องให้ลึกและได้พบว่า... ฉากในเรื่องถือกำเนิดที่เมืองปักกิ่ง แม่ของอะลาดินเป็นม่าย ขายของอยู่ในตลาด ตัวอะลาดินคอยช่วยแม่ทำทุกๆ อย่าง และแอบหลงรักเจ้าหญิงแสนสวย เมื่อมีโอกาสได้ครอบครองตะเกียงวิเศษ เขาจึงขอพรให้ตัวเองร่ำรวย ทำให้สามารถแต่งงานกับเจ้าหญิงได้ ซึ่งหนึ่งในเหตุผลที่นักประวัติศาสตร์เชื่อว่าอะลาดินมาจากจีนก็เพราะประเทศจีนนั้นให้โอกาสผู้ชายได้ก้าวหน้ามากกว่าผู้หญิง
แสตมป์สะสมลายอะลาดิน
ดูเหมือนอะลาดินจะเป็นเรื่องของคนไม่เอาไหนที่ขี้เกียจและรักสบาย แต่มันก็สะท้อนสภาพสังคมอันเต็มไปด้วยคนขี้โกงและความแตกต่างระหว่างคนรวยกับคนจน
นักวิจารณ์หลายคนเชื่อว่า... อะลาดินเป็นเรื่องของคนไม่เอาไหน ไม่ได้ความ และยังขี้เกียจมากๆ ด้วย อะลาดินไม่เคยเชื่อแม่ของตัวเอง แม้แม่จะสอนให้เขาหนักเอาเบาสู้ แต่เขาก็ขี้เกียจเอาแต่ฝันเฟื่องถึงชีวิตที่ดีกว่า จนกระทั่งเขาได้พบกับพ่อมด และได้รับการว่าจ้างไปให้เอาตะเกียง อะลาดินก็ตระบัดสัตย์และโกงพ่อมด ยึดเอาตะเกียงไปเป็นของตัวเอง เมื่อใช้ประโยชน์จากจีนี่ได้ เขาก็ขอเอาๆ ขออำนาจ ขอความร่ำรวย ขอหลายๆ อย่าง เพื่อให้ตัวเองได้มาซึ่งสิ่งที่ไม่เคยมี เมื่อได้เห็นหน้าเจ้าหญิง อะลาดินก็หลงรัก และแทนที่จะเลือกขยันอดทนสร้างเนื้อสร้างตัว เขาก็ใช้อำนาจของจีนี่ เพื่อให้ได้แต่งงานกับเจ้าหญิง การกระทำของอะลาดินนั้น จะว่าไปแล้วไม่ต่างอะไรจากการ “ขี้โกง” แต่เมื่อมองอีกแง่หนึ่ง เราพบว่า... เรื่องราวของอะลาดินก็สะท้อนสังคมได้อย่างน่าสนใจ ดูเหมือนว่าคนจีนในยุคนั้น การปกครองจะทำให้ประชาชนเครียด จนต้องหาทาง “เอาตัวรอด” หรือ “ต่อสู้กับระบบ” ด้วยวิธีการที่เป็นทางลัด นั่นคือพึ่งจีนี่ให้มาช่วย คงเพราะระบบในสังคมมันแน่นหนาและเคร่งครัดเสียจนมีคนมากมายที่อยากต่อต้าน แต่เมื่อทำโดยวิธีซื่อตรงไม่ได้ ก็ต้องใช้วิธีการโกงเอา และแน่นอน อะลาดินคือตัวแทนของคนที่ยากจน! มันคือเงาสะท้อนของคนกลุ่มใหญ่ที่ไม่พอใจคนที่อยู่เหนือกว่า กลุ่มชนชั้นปกครองที่ไม่เคยหันมาเหลียวแลคนอื่นๆ ในสังคม เหตุการณ์ในอะลาดินหลายตอนสะท้อนให้เราเห็นถึง “การกบฏ” อะลาดินปฏิเสธแม่ของตัวเอง ไม่เชื่อแม่ เจ้าหญิงปฏิเสธพ่อ ไม่เชื่อพ่อ มาแต่งงานกับอะลาดิน อะลาดินปฏิเสธการบังคับของพ่อมด อะลาดินปฏิเสธความยากจน ไม่เชื่อฟังคนอื่นๆ จริงๆ แล้ว ถ้าเรื่องราวนี้เกิดในยุคนี้อาจไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ถ้ามองว่ามันเป็นเรื่องเล่าในยุคศตวรรษที่ 18 ก็จะทำให้เราพอจะมองเห็นภาพว่า... คนในยุคนั้นอยู่กันอย่างคับแค้นแค่ไหน อะลาดินจึงเหมือนตัวแทนของชนชั้นล่าง ที่โดนข่มเหงรังแกจากชนชั้นสูง และได้พยายามที่จะต่อสู้ โดยหันไปพึ่งพาอำนาจที่เหนือกว่า (จีนี่) จะว่าไป เรื่องของอะลาดินก็เหมือนความหวังของชนชั้นล่าง ว่าสักวันพวกเขาจะมีโอกาสได้พัฒนา ได้เลื่อนสถานะทางสังคม และได้กลายเป็นชนชั้นสูงกับเขาบ้าง มันคือกระบวนการทางสังคมที่เราอาจไม่ทันสังเกต หรือมองเห็น แต่ดำเนินอยู่...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น