ยาแก้ปวด...กินมากไป อันตรายถึงชีวิต


“ยาแก้ปวด” คงเป็นไอเท็มคู่กายของใครหลายคน โดยเฉพาะวัยทำงานที่มักมีอาการปวดศีรษะอยู่บ่อยๆ และเลือกกินยาเพื่อบรรเทาอาการ แต่ก่อนที่ตับจะพังไปมากกว่านี้!! เรามาดูกันดีกว่า...ว่ากินยาแก้ปวดยังไงถึงจะไม่อันตราย

ยาแก้ปวด...กินแค่ไหนถึงไม่ทำร้ายตับ

ไม่ใช่ว่ายาแก้ปวดจะอันตรายจนกินไม่ได้เลย เพียงแต่ว่าเราต้องรู้จักกินในปริมาณที่เหมาะสม ซึ่งไม่ควรเกิน 4,000 มิลลิกรัมต่อวัน!! โดยถ้าเป็นยาแก้ปวดขนาด 325-500 มิลลิกรัม ควรเว้นระยะห่าง 4-6 ชั่วโมง แต่ถ้าเป็นยาแก้ปวดขนาด 1,000 มิลลิกรัม ควรเว้นระยะห่าง 6-8 ชั่วโมง และไม่ควรกินติดต่อกันนานเกิน 7 วัน

ทำไม?? กินยาแก้ปวดระยะยาว ถึงเสี่ยงตับหรือไตพัง

เพราะยาแก้ปวดเมื่อกินเข้าไปแล้วจะถูกขับออกทางตับหรือทางไต ดังนั้นการกินติดต่อกันนานๆ อาจทำให้ส่งผลกระทบต่อการทำงานของตับหรือไตได้ หากมีอาการปวดศีรษะเรื้อรังนานๆ จึงควรมาพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุและแนวทางการรักษาให้ตรงจุด

รู้หรือไม่? “แอลกอฮอล์” คือปัจจัยเพิ่มโอกาสเสี่ยงตับวาย!!

ไม่เพียงแค่ประวัติเกี่ยวกับโรคตับที่ทำให้ผู้ป่วยต้องระวังเรื่องการใช้ยาแก้ปวดในการรักษา แต่ยังรวมไปถึงการมีประวัติติดแอลกอฮอล์ หรือดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมแอลกอฮอล์ 3 แก้วต่อวัน เพราะแอลกอฮอล์คือปัจจัยที่เพิ่มโอกาสต่อการเกิด “ภาวะตับล้มเหลว” ได้ง่าย ซึ่งโดยส่วนมากผู้ป่วยกลุ่มนี้จะสามารถกินยาแก้ปวดได้ไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวันเท่านั้น

หากมีอาการเหล่านี้ ควรหยุดยา..แล้วรีบไปพบแพทย์

การกินยาแก้ปวดเกินขนาด นับว่าเป็นเรื่องที่มักเกิดจากความไม่ตั้งใจ!! หากคุณเริ่มมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง มีเหงื่อออก และอาการจะค่อยๆ เริ่มรุนแรงขึ้น เช่น มีอาการปวดบริเวณกระเพาะส่วนบน ปัสสาวะมีสีเข้ม ผิวเหลืองหรือตาเหลือง นี่คือคำเตือนว่าคุณกำลังใช้ยาเกินขนาด!!

แม้ว่ายาแก้ปวดจะสามารถบรรเทาอาการปวดหัวได้...แต่ก็ช่วยแค่เพียงปลายเหตุเท่านั้น!! หากยังมีอาการปวดเกิดขึ้นต่อเนื่องบ่อยครั้ง ควรมาพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยหาสาเหตุที่แท้จริง...เพื่อการรักษาที่แก้ไขได้ตรงจุด

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

วันปิยมหาราช พระราชกรณียกิจ รัชกาลที่ 5

ไขมันทรานส์คืออะไร

วิธีลดเครียด-ลดเหงา เมื่อต้อง Work From Home นานๆ